สลับร่างมาสร้างรัก ep.01
โดย ดาวสีส้ม
(ปล.ชื่อตัวละคร สถานที่ สถานการณ์ ทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้นนะคะ)
เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่ดันไปอยู่ผิดที่ผิดทาง กลับทำให้เธอกลายเป็นทายาทเศรษฐีเจ้าของธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เพียงภายในค่ำคืนและต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องลึกลับของตระกูลนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ชีวิตของเธอจะเป็นเช่นไร เธอจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง ใครจะช่วยเธอให้รอดพ้นจากเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นกับเธอในครั้งนี้
บังเอิญหรือชะตากำหนด
ด้วยอากาศร้อนระอุในช่วงของเดือนเมษายน มันทำให้เหงื่อออกได้ง่ายกว่าปกติ
ทำให้ก้านแก้วที่ต้องตะลอนๆร่อนใบสมัครงาน
ถึงกลับต้องปาดเหงื่อที่ไหลออกจากใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอาง
ก่อนจะเดินเข้าไปสมัครงาน
เธอยื่นใบสมัครที่ถูกกรอกข้อความเดิมๆ
พร้อมกับซีดีตัวอย่างผลงานให้กับฝ่ายบุคคล
แล้วเธอก็คิดในใจว่า “ แล้วเดี๋ยวคงได้ยินประโยคที่ว่า เรียบร้อยแล้วค่ะ แล้วจะติดต่อไปนะคะ”
และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอยิ้มและกล่าวขอบคุณให้หล่อน ก่อนเดินออกไปจากห้องนั้นด้วยอาการของคนที่รอคอยความหวังอย่างไม่มีหวัง
และแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอยิ้มและกล่าวขอบคุณให้หล่อน ก่อนเดินออกไปจากห้องนั้นด้วยอาการของคนที่รอคอยความหวังอย่างไม่มีหวัง
“โน้ตบุคก็พัง ซ่อมอะไรจะปาเข้าไป 4 เดือน
ยกเลิกการซ่อมไปตังนานยังจะผลัดวันประกันพรุ่งคืนเครื่อง จะได้เครื่องคืนมั้ยเนี่ย
งานก็หายาก โอ้ย..ดวงฉันจะลงไปไหน” เธอนึกในใจ
พ้นประตูทางออกของตึกนี้ไป เธอก็เดินโต๋เต๋ชนิดที่ไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือ
นั่นเป็นเพราะยังไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องเธอเลย
“ เฮ้อ...หิวข้าวจัง รู้งี้กินกล้วยสักลูกก่อนก็ยังดี โอย...แดดเปรี้ยงซะขนาดนี้ได้ตายกันแน่ๆ
ฉันอยู่เมืองไทยหรือซาอุดินแดนทะเลทรายเนี่ย ”
ความร้อนระอุดั่งไฟที่ปะทุขึ้นมาจากภูเขาไฟ ทำให้เธอมองเห็นโลกนี้เป็นสีเหลือง
หัวหมุนติ้วหายใจไม่ออกเหมือนจะเป็นลม
ทันใดนั้นก็มีรถยนต์สีขาววิ่งส่ายไปมาพุ่งมาทางเธอ เฉี่ยวร่างเธอจนล้มลงตรงนั้น ส่วนรถคันนั้นก็ไปชนกับศาลเจ้าที่ แรงปะทะของรถทำให้เสาของศาลเอียงเล็กน้อย ส่วนหญิงสาวที่เป็นคนขับนั้นสลบคาพวงมาลัย
ทันใดนั้นก็มีรถยนต์สีขาววิ่งส่ายไปมาพุ่งมาทางเธอ เฉี่ยวร่างเธอจนล้มลงตรงนั้น ส่วนรถคันนั้นก็ไปชนกับศาลเจ้าที่ แรงปะทะของรถทำให้เสาของศาลเอียงเล็กน้อย ส่วนหญิงสาวที่เป็นคนขับนั้นสลบคาพวงมาลัย
รปภ.วิ่งหน้าตาตื่นมายังที่เกิดเหตุ แล้วรีบแจ้งไปยังประธานบริษัท
ว่าหลานสาวท่านประสบอุบัติเหตุ ได้ยินเช่นนั้น วินิจถึงกับความดันขึ้น
ทางด้านศิรกานต์ผู้เป็นพี่ชายจึงรีบลงมาจากอาคาร
พาหญิงสาวทั้งสองขึ้นรถตู้โดยมีผู้กองนพรัตน์เพื่อนสนิทของเขาที่มาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ เป็นผู้ประสานงานขอความช่วยเหลือเรื่องเส้นทางจราจรและขับรถนำทางเพื่อพาหญิงสาวทั้งสองไปโรงพยาบาล
หลานสาวสุดที่รักต้องมาประสบอุบัติเหตุเยี่ยงนี้ ทำเอาหัวใจของตาผู้เป็นดังพ่อและแม่ถึงกับจะขาดใจ เมื่อเห็นร่างอันบอบบางนอนอยู่บนเตียงโดยมีออกซิเจนช่วยหายใจอยู่ และอีกเตียงข้างกันก็คือร่างที่ไร้การตอบสนองของก้านแก้วที่อยู่ในสภาพเดียวกันกับหลานสาวของเขานั่นเอง ต่างกันที่ยังไม่สามารถตามตัวของญาติก้านแก้วได้ ถึงอย่างไรก็ตามอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ วินิจจะเป็นผู้รับผิดชอบและดูแลก้านแก้วให้ดีที่สุด
เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้วินิจนึกถึงอดีตที่ยากจะลบไปจากความทรงจำ เมื่อภาพฐิติมาลูกสาวคนโตของเขาต้องเสียชีวิตไปพร้อมกับลูกเขยด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ20
ปีก่อน ผุดขึ้นมาในสมอง อุบัติเหตุครั้งนั้น ทำให้หลานทั้งสองคนต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า
เขาก็ได้สัญญาว่าจะเลี้ยงดูทะนุถนอมเด็กทั้งสองให้ดีที่สุด นี่อาจจะเป็นช่วงเบญจเพศของหลานสาวเขาก็ได้
และในตอนนี้เขาก็ทำทุกวิธี ที่จะให้เธอและเด็กสาวอีกคนได้พ้นขีดอันตราย เขาเหลือบไปมองยังเด็กสาวที่นอนนิ่งอยู่เตียงข้างๆ
ศิรกานต์หน้านิ่ว เดินเข้ามาหาวินิจผู้เป็นตาที่นั่งอยู่โซฟา และได้บอกให้ท่านกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อน
แล้วตัวเขาจะเฝ้าน้องเอง
“คุณตาครับ คุณตากลับบ้านไปพักก่อนนะครับ คุณตาไม่ต้องห่วงนะครับ
ผมจะดูแลน้องเองครับ ผมสัญญา” ศิรกานต์ นั่งยองๆลงตรงหน้าวินิจ สองมือของเขาแตะลงที่ขาทั้งสองข้างของตา
คล้ายการอ้อนของเขาเมื่อยังเป็นเด็ก
บรรยากาศภายในห้องนั้นเงียบเฉียบ จนกระทั่งนพรัตน์ ได้เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับบอกข่าวว่าได้แจ้งไปยังเพื่อนสนิทของก้านแก้ว โดยเอาข้อมูลที่เธอได้กรอกไว้ในใบสมัครงานที่บริษัท และอีกข่าวที่เขาต้องแจ้งให้ชายทั้งสองฟังก็คือ ทางกองพิสูจน์หลักฐานได้ตรวจสอบรถที่มัฑวีร์ขับแล้ว พบว่าสายเบรกขาด
“สายเบรกขาด ได้ไง ก็มันในเมื่อรถเพิ่งซื้อมาไม่กี่อาทิตย์ ” ศิรกานต์
บอกเพื่อนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“ก็ผลมันเป็นอย่างนั้นนี่หว่า แล้วแกจะให้ฉันทำไงวะกานต์
”ผู้กองหนุ่มตอบเพื่อนไปตามที่ได้รับแจ้งมา
ศิรกานต์ได้ฟังที่นพรัตน์พูดแบบนั้น ก็ได้แต่หงุดหงิดและขุ่นข้องหมองใจ
จึงผละตัวไปนั่งที่โซฟา หลังจากที่ วินิจรับรู้เรื่องราวแล้ว
ได้กล่าวฝากฝังให้ศิรกานต์และนพรัตน์ ช่วยดูแลหญิงสาวทั้งสอง
ก่อนที่เขาจะกลับไปพักผ่อนที่บ้าน
ในใจของศิรกานต์เฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงเรื่องที่นพรัตน์พูดถึงเรื่องรถของมัฑวีร์
ในเวลานั้นเองก็มีชายหนุ่มผิวเข้มสะพายเป้และสายกล้องคล้องคออยู่
ได้เปิดประตูเข้ามาภายในห้อง นพรัตน์ที่นั่งเฝ้ามัฑวีร์อยู่ได้หันมาดูว่าใครมา
แล้วก็ต้องตกตลึง เพราะชายคนนั้นคือช่างภาพของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่สนิทกับน้องสาวของเขานั่นเอง
ถึงผิวของชายหนุ่มจะเป็นสีเข้ม และบุคลิกที่จริงจัง แลดูดุดัน แต่ทว่าจากสีหน้าและแววตาของชายคนนั้นที่จ้องมองไปยังร่างก้านแก้ว
มันบ่งบอกได้ถึงความห่วงใยที่มีต่อเธอ
เขาบอกว่าได้รับโทรศัพท์จากบุษบาแจ้งให้เขาทราบว่าก้านแก้วประสบอุบัติเหตุ แต่เขาไม่คิดว่าเธอจะต้องมาประสบอุบัติเหตุในวันนี้ที่เป็นวันเกิดของเธอ
ชายทั้งสามได้แต่มองร่างของหญิงสาวทั้งสอง และรอให้มีปาฎิหาริย์ เพราะผลจากการตรวจของหญิงสาวทั้งสอง ไม่พบว่าพวกเธอได้รับบาดเจ็บส่วนใด แต่ที่ต้องใช้ออกซิเจนช่วยในการหายใจเพราะพวกเธอมีภาวะการหายใจผิดปกติ
เขาบอกว่าได้รับโทรศัพท์จากบุษบาแจ้งให้เขาทราบว่าก้านแก้วประสบอุบัติเหตุ แต่เขาไม่คิดว่าเธอจะต้องมาประสบอุบัติเหตุในวันนี้ที่เป็นวันเกิดของเธอ
ชายทั้งสามได้แต่มองร่างของหญิงสาวทั้งสอง และรอให้มีปาฎิหาริย์ เพราะผลจากการตรวจของหญิงสาวทั้งสอง ไม่พบว่าพวกเธอได้รับบาดเจ็บส่วนใด แต่ที่ต้องใช้ออกซิเจนช่วยในการหายใจเพราะพวกเธอมีภาวะการหายใจผิดปกติ
จิตติรุทชายหนุ่มผิวเข้มที่เติบโตมาพร้อมก้านแก้ว เพราะบ้านอยู่ติดกัน
เขาได้ทำงานอยู่ที่เมืองหลวงเมืองใหญ่แห่งนี้ โดยเป็นช่างภาพอิสระได้ประมาณ
3 ปีแล้ว
ส่วนก้านแก้วนั่นเธอเพิ่งจะเรียนจบ และกำลังจะหางานทำอย่างเป็นหลักเป็นแหล่ง ความสัมพันธ์ของจิตติรุทกับก้านแก้วนั้นเปรียบดั่งพี่ชายที่แสนดี คอยช่วยเหลือเธอตลอด เพราะตั้งแต่เล็กจนโต จิตติรุทจะคอยปกป้องเธอในยามที่เธอถูกรังแก และเล่นเป็นเพื่อนเธอ เขาจะอยู่ข้างๆเธอตลอดเวลาที่เธอทุกข์ใจ
ส่วนก้านแก้วนั่นเธอเพิ่งจะเรียนจบ และกำลังจะหางานทำอย่างเป็นหลักเป็นแหล่ง ความสัมพันธ์ของจิตติรุทกับก้านแก้วนั้นเปรียบดั่งพี่ชายที่แสนดี คอยช่วยเหลือเธอตลอด เพราะตั้งแต่เล็กจนโต จิตติรุทจะคอยปกป้องเธอในยามที่เธอถูกรังแก และเล่นเป็นเพื่อนเธอ เขาจะอยู่ข้างๆเธอตลอดเวลาที่เธอทุกข์ใจ
จิตติรุทนั้นเป็นเพื่อนสนิทและเรียนจบรุ่นเดียวกันกับบุษบาซึ่งเป็นน้องสาวของนพรัตน์
จึงไม่แปลกที่เขาจะทราบข่าวโดยทันที เขาขออาสาช่วยเฝ้าหญิงสาวทั้งสอง
“คุณศิรกานต์ครับผมขอเฝ้าทั้ง 2 คน ให้นะครับ
ก้านแก้วตื่นมาอย่างน้อยเธอจะได้เห็นผมอยู่ตรงนี้”
จิตติรุทเอ่ยกับศิรกานต์ที่นั่งอยู่โซฟา โดยมีนพรัตน์นั่งอยู่ข้างๆ
ศิรกานต์ได้ยินคำขอจากจิตติรุท เขาจึงหันไปมองหน้านพรัตน์
เหมือนกับเป็นที่รู้กันว่านั่น เป็นการถามจากเพื่อนว่าได้หรือไม่
และนพรัตน์ก็พยักหน้า
ศิรกานต์ลุกขึ้นจากโซฟา เดินมายืนเบื้องหน้าจิตติรุท แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
ก่อนที่จะเอ่ยตอบรับคำที่จิตติรุทร้องขอ
“ได้ตามนั้นคุณรุท ผมฝากน้องสาวด้วยนะ ก็ดีเหมือนกัน ผมยังมีเรื่องต้องไปเคลียร์อีก”
เขาตบไหล่จิตติรุทเบา ๆ ก่อนที่จะเอื้อนเอ่ยขอร้องต่อไป
“ผมขอร้องเรื่องข่าวนะคุณรุท อย่าให้ใครรับรู้อะไรมากไปกว่านี้
คุณคงเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
ทางด้านนพรัตน์ก็ลุกขึ้นมาสมทบกับเพื่อน
“เดี๋ยวฉันให้ลูกน้องมาเฝ้าหน้าประตูให้ละกัน”
ประโยคนี้ทำให้ศิรกานต์ต้องทวนคำใหม่
“เฝ้าหน้าประตู มันยังไงวะ...แกต้องให้ลูกน้องมาเฝ้าเลยเหรอ”
นพรัตน์ยังไม่ปักใจตามที่ผลสรุป
“ฉันป้องกันไว้ก่อน ฉันเองก็ไม่อยากเชื่อว่าสายเบรกมันจะขาดเองหรอกนะ รถออกจะใหม่ขนาดนั้น”
พูดจบนพรัตน์ก็เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปกำชับลูกน้องที่เฝ้าอยู่หน้าประตู แล้วศิรกานต์ก็เดินตามออกไป
พูดจบนพรัตน์ก็เอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเดินไปกำชับลูกน้องที่เฝ้าอยู่หน้าประตู แล้วศิรกานต์ก็เดินตามออกไป
จิตติรุท
ถอนหายใจเฮือก...แล้วก็เดินไปนั่งที่โซฟา และมองไปยังหญิงสาวทั้ง 2 ที่หลับใหลอยู่บนเตียง
... to be continued...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น